หอเอนเมืองปีซา ตั้งอยู่ที่เมืองปีซา ประเทศอิตาลี เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสูง 181 ฟุต เริ่มสร้างเมื่อค.ศ. 1174 แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงเมื่อก่อสร้างไปได้ประมาณ 4-5 ชั้น เนื่องจากพื้นดินใต้อาคารเริ่มยุบลงจากการที่รากฐานของอาคารไม่มั่นคงพอ อย่างไรก็ตามต่อมาได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยเมื่อปีค.ศ. 1350 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของโครงสร้างด้านบนไปจากแผนผังเดิมเพื่อถ่วงดุลกับการเอียงของหอ โดยรวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 176 ปี แต่ตัวหอก็ยังเอนไปจากแนวตั้งฉากถึง 14 ฟุตปัจจุบันนี้ได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมข้างบนแล้ว เนื่องจากว่าหอจะเอนลงเรื่อยๆ ซึ่งบรรดาวิศวกรกำลังหาทางที่จะหยุดยั้งการเอนและอนุรักษ์ให้มีสภาพเอียงไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชมไปอีกนานๆ สำหรับหอเอนปิซานี้ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคได้สลักลวดลายไว้สวยงามมาก ณ ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก
สนามกีฬาแห่งกรุงโรม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส (Titus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือ ประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน ใต้อัฒจรรย์มีห้องใต้ดินที่สร้างขึ้นเพื่อขังสิงโตและนักโทษประหาร ก่อนปล่อยให้ออกมาต่อสู้กันกลางสนาม นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่ประลองฝีมือของเหล่าอัศวินในยุคนั้น ปัจจุบันยังคงเหลือโครงสร้างเกือบสมบูรณ์ตั้งเด่นเป็นโบราณสถานที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทั่วโลก
หลุมฝั่งศพแห่งอเล็กซานเดรีย ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "คาตาโกมบ์"คาตาโกบ์นี้มิได้สร้างเป็นปิระมิดเหมือนแต่ยุคแรกจัดสร้างอุโมงค์ใต้ดิน ขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทรายทำเป็นชั้นๆ และมีช่องทางเดินวกเวียนไปมาหลายไมล์ ภายในอุโมงค์บางตอนตกแต่งไว้อย่างสวยงามตระการตาพระศพของกษัตริย์อียิปต์สมัยกลาง จะนำมาบรรจุในอุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้
กำแพงเมืองจีน หรือกำแพงยักษ์ เป็นกำแพงที่ใหญ่ที่สุด และยาวที่สุดในโลก ไม่มีกำแพงที่ไหนเทียบได้ กำแพงเมืองจีน สร้างเป็นกำแพงอิบยาวประมาณ 2,650 ไมล์ ตัวกำแพงสูง 25-30 ฟุต บนกำแพงมีทางเดินกว่า 10 ฟุต มีป้อมเชิงเทิน 1 ป้อม ซึ่งตลอดแนวกำแพง มีป้อมเชิงเทินประมาณ 1,500 ป้อม เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 300-329 ใช้แรงงานจากราษฎรนับล้านคน มีคนล้มตายเพราะการก่อสร้างครั้งนี้จำนวนมาก พระเจ้าชิวั่งตี่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของจีนเป็นผู้สร้างขึ้น เพื่อเป็นรั้วกั้นพรมแดนด้านเหนือของประเทศจีน ป้องกันการรุกรานของพวกตาด ศัตรูตัวสำคัญของจีนในยุคนั้น
พระเจ้าชิวั่งตี่ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของจีน ปกครองประเทศจีน เมื่อ พ.ศ. 297 พระองค์เป็นนักรบที่เข้มแข็ง และมีความสามารถเก่งกล้าเกินมนุษย์ ขณะนั้นจีกได้แตกเป็นก๊กเป็นเหล่า แต่จักรพรรดิองค์นี้สามารถทรงรวมจีนให้เป็นปึกแผ่น และยังขับไล่ไทยจากน่านเจ้าให้ถอยร่นลงมายังสุวรรณภูมิจนถึงทุกวันนี้ จักรพรรดิชิวั่งตี่ ทรงทราบว่าทางภาคเหนือมีศัตรูสำคัญ ซึ่งเป็นนักรบเชื้อสายมองโกล เพราะพระองค์เห็นว่า มีทางเดียวเท่านั้นที่สกัดกั้นพวกศัตรูมิให้รุกรานได้ก็ คือ การสร้างกำแพงยักษ์ขึ้นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เรืองอำนาจ ได้รับสั่งให้เกณฑ์ราษฎรมาสร้างกำแพงยักษ์ขึ้น กั้นพรมแดนประเทศจีนกับธิเบต แม้จะสิ้นเปลืองราชทรัพย์สักเท่าใด ก็มิได้ย่นย่อท้อถอย พระองค์ได้บุกบั้นสร้างกำแพงนี้จนสำเร็จ นอกจากสร้างกำแพงยักษ์ที่สุดในโลกขึ้นแล้ว จักรพรรดิจีนองค์นี้ ยังมีรับสั่งให้สร้างวังขนาดใหญ่ที่สุดขึ้นมีห้องถึงหมื่นห้อง สำหรับพระองค์จะได้เลือกบรรทมได้ทุกห้อง ทั้งนี้เนื่องจากพระองค์ใฝ่การสงครามตลอดเวลาจึงหวาดระแวง ไม่สงบ เกรงว่าจะมีศัตรูมาทำร้ายพระองค์อยู่เสมอ
กองหินประหลาด ประกอบด้วยกองหินขนาดใหญ่จำนวนถึง 112 ก้อน และแต่ละก้อนทรงสูง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางทับซ้อนิยู่บนยอด วงหินรอบนอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 100 ฟุต หินที่เรียงรายอยู่ทั้งหมดถึง 30 ก้อน ล้วนแต่ก้อนขนาดมหึมา สูงถึง 13 ฟุต และหนักเป็นตันๆ ทั้งนั้น อายุของหินเล่านี้มีมานาน ตั้งแต่ก่อนสมัยคริสตกาลถึง 1,700 ปี ไม่มีประวัติแจ้งไว้ว่าใครเป็นผู้นำมาวาง และมาวางเพื่อประสงค์อะไร กองหินประหลาดแห่งนี้ อยู่กลางทุ่งนาอันกว้างขวาง แห่งเมืองซัสลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ตามทางสันนิฐานของนัวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ว่า กองหินประหลาดแห่งนี้ เป็นแหล่งกำเนิดของการโคจรของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ได้ด้วย รัฐบาลอังกฤษ ได้เปิดสถานที่ที่มีกองหินประหลาดนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ในปี ค.ศ. 1918 และจนกระทั่งปัจจุบันนี้ยังมีผู้ไปเที่ยวชมจำนวนมาก และก็จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง
เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง อยู่ที่กรุงนานกิง ประเทศจีน เป็นเจดีย์ 9 ชั้น แปดเหลี่ยม สูง 261 ฟุต หลังคาทำด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวทั้งหมด ชายคามีกระดิ่งแขวนไว้ 80 ลูก และมีโคมไฟประดับอีกจำนวนมาก องค์เจดีย์ประกอบด้วยอิฐ ประดับกระเบื้องเคลือบ ยอดเจดีย์รูปกลมปิดทอง เดิมมีเพียง 3 ชั้น ต่อมาในสมัยจักรพรรดิยุ่งโล้ แห่งราชวงศ์หมิง ประมาณ ค.ศ. 1430 ได้สั่งให้ทำเพิ่มอีก 6 ชั้น มีสายโซ่โยงลงมา 8 เส้น และติดกระดิ่งตามโซ่อีก 72 ลูก เพิ่มความมหัศจรรย์และวิจิตรงดงามมากขึ้นปี ค.ศ. 1853 "กบฏไต้เผง" ได้ไปทำลายเจดีย์กระเบื้องเคลือบอันงดงามนี้ เครื่องบูชา และของภายในเจดีย์ถูกพวกกบฏเก็บกวาดไปเสียหมด ปัจจุบันจึงไม่งดงามเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังเด่นตระง่านอยู่ อนุชนรุ่นหลังยังได้เห็นความวิตรงดงามอันมหัศจรรย์ดังกล่าวอยู่ และจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง
สุเหร่าเซโซเฟีย สุเหร่าแห่งนี้ นอกจากจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลางแล้ว ยังเป็นสุเหร่าแห่งแรกที่มีความแปลกพิสดารกว่าสุเหร่าทั้งหลาย กล่าว เป็นสุเหร่าที่ดูกดัดแปลงมาจากโบสถ์คริสตศาสนา สุเหร่าเซโซเฟีย มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสาค้ำแกะสลักลวดลายไว้ไว้อย่างงดงามจำนวน 180 ต้น ชั้นล่างเป็นขนาดใหญ่ 40 ต้น และชั้นบนเป็นขนาดเล็ก 68 ต้น หลังคาเป็นรูปโรมแบน มีหอแหลมจำนวนมาก เป็นศิลปะคริสเตียนผสมกับศิลปะอิสลามจนงดงามเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแต่เดิม จักรพรรดิคอนสแตนติน เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อคริสตศวรรษที่ 13 เป็นโบสถ์ที่ใช้ประกอบพิธิทางศาสนาคริสตศาสนา ใช้เวลาสร้าง 17 ปี ต่อมา พระเจ้าโมฮันเหม็ดที่ 2 ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์แห่งนี้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงรูปแบบความงดงามไว้อย่างเดิม อีกทั้งเติมศิลปะอิสลามเข้าไปให้วิจิตรตระการตายิ่งขึ้นอีกปัจจุบัน สุเหร่าเซโซเฟีย อยู่ในกรุงคอนแตนติโนเปิล ประเทศตุรกี จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง
(หมายเหตุ : ข้อมูลรูปภาพบางส่วนได้มาจากwww.thaigoodview.com)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น